องค์การอนามัยโลก (WHO) และสหประชาชาติกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาว่าประเทศใดที่มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป ถือเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
สำหรับประเทศไทยในปี 2565 นี้ก็ต้องถือว่าเป็นปีที่เปิดศักราชการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง เพราะเป็นปีที่มีผู้สูงอายุในประเทศไทยมีประมาณ 11.8 ล้านคน จากประชากรกว่า 66 ล้านคน หรือร้อยละ 17.9 อีกนิดเดียวก็เข้าสู่เกณฑ์แล้ว
ได้มีการแบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 3 กลุ่มคร่าวๆ กลุ่มผู้สูงอายุวัยต้นจะมีอายุระหว่าง 60-70 ปี กลุ่มวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงแข็งแรงจากสถิติพบว่า 30-40% ยังสามารถทำงานได้ แต่เมื่อพอเข้าสู่วัยกลางคืออายุ 70-80 ปี และวัยตอนปลายอายุประมาณ 80 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะเกิดภาวะพึ่งพิง และโจทย์นี้แหระที่วัย สว. ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพอนามัยแข็งแรงให้นานที่สุด ย่นระยะเวลาที่ต้องเป็นผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพิงลูกหลาน ติดบ้านติดเตียง และให้มีโรคภัยน้อยที่สุด ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการดูแลสุขภาพพลานามัยด้วยการออกกำลังกายและการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัย
สิ่งสำคัญคือต้องนำประสพการณ์ความรู้ความสามารถที่สั่งสมมาอย่างยาวนานและซ่อนอยู่ในตัวเราออกมาใช้ให้เป็นพลังต่อชีวิตและสร้างคุณค่าต่อสังคม ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ หรือร่วมกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่จะเป็นสะพานลดช่องว่างแห่งวัยในการใช้ชีวิตในสังคมยุคดิจิทัล เพื่อไม่ให้ลูกหลานและผู้คนรอบข้างมองว่าเราเป็นภาระของพวกเขา !